ย้อนรอย’ฆ่ายกครัว’สุดเหี้ยม เลือดเย็น-ดุดัน-ทรพี-โรคจิต

เปิดแฟ้มคดี “ฆ่ายกครัว” ในอดีตสุดสะเทือนขวัญ ย้อน 5 คดีดดังสังคมไม่เคยลืม! มือฆ่าหลากหลายความเหี้ยมโหด ไล่เรียงจาก “เลือดเย็น-ดุดัน...


เปิดแฟ้มคดี “ฆ่ายกครัว” ในอดีตสุดสะเทือนขวัญ ย้อน 5 คดีดดังสังคมไม่เคยลืม! มือฆ่าหลากหลายความเหี้ยมโหด ไล่เรียงจาก “เลือดเย็น-ดุดัน-ทรพี-โรคจิต”
กลายเป็นเหตุสะเทือนขวัญล่าสุดกรณีเหตุ “ฆ่ายกครัวผู้ใหญ่บ้าน”ตายหมู่ 8 ศพ พื้นที่ อ.อ่าวลึก จ.กระบี่ โดยคนร้ายก่อเหตุอย่างเหี้ยมโหดฆ่าได้แม้กระทั่งเด็ก ทั้งยังมีคนเจ็บอีก 3 ราย ซึ่งกลุ่มมือปืนมี 6-7 คน ใช้ยานพาหนะ 2 คัน แต่งชุดลายพรางคล้ายทหาร พร้อมอาวุธครบมือบุกเข้าบ้านเลขที่ 14/3 หมู่ 1 ต.บ้านกลาง อ.อ่าวลึก จ.กระบี่ ของ “นายวรยุทธ สังหลัง” ผู้ใหญ่บ้านลงมือก่อเหตุสะเทือนขวัญ จนกลายเป็นข่าวที่ได้รับความสนใจจากประชาชนเป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์อุกอาจเช่นนี้ ใช่ว่าจะเพิ่งเคยเกิดเป็นครั้งแรก เพราะก่อนหน้านี้ก็เคยมีเหตุลักษณะเหตุ “ฆ่ายกครัว” เกิดขึ้นและกลายเป็นคดีใหญ่โต สร้างความสะเทือนใจคนในสังคมเป็นอย่างมาก ทั้งนี้เหตุการณ์ฆ่าหมู่ที่เกิดขึ้นล่าสุดทำให้หลายคนนึกย้อนไปถึงคดีอื่น ๆ
เช่นคดีเมื่อปี 40 “ศักดิ์ ปากรอ” มือฆ่า 5 ศพ ยกครอบครัว “บุญทวี” ด้วยวิธีการโหดเหี้ยม “แขวนคอ” ทั้งพ่อ แม่ และลูกอีก 3 คน ซึ่งหากย้อนกลับไป 26 เม.ย.ในปีนั้น ภายในบ้านพบศพของ “นายประภาส บุญทวี” อายุ 43 ปี หัวหน้าสถานีอนามัย ต.ระวะ จ.สงขลา และลูก 3 คน อายุระหว่าง 9-13 ปี ถูกแขวนคอห้อยกับราวบันได ส่วนห้องนอนชั้นบนพบศพของ “นางเจียมจิต บุญทวี” ภรรยาของนายประภาส ถูกมัดมือมัดเท้า ถูกของแข็งทุบเข้าที่ใบหน้า

โดย 5 ชีวิตต้องตายอย่างอนาถ เหตุคนร้ายทำไปเพราะ “ต้องการเงินเพียง 1 ล้านบาทเท่านั้น!!” ซึ่งนี้คือคำสารภาพอย่างไม่สะทกสะท้านของ “นายศักดิ์ ปากรอ”ว่า เป็นคนลงมือฆ่า 5 ศพ และบอกอย่างเลือดเย็นว่า “ไม่เห็นเป็นอะไร คนจะตายมันก็ต้องตาย” โดยมีนายจ้อง (เพื่อนวัยรุ่นเป็นคนช่วยดูต้นทาง) ส่วนสาเหตุนั้นเป็นเพราะรู้ข่าวว่าผู้ตายเพิ่งขายที่ดินได้ แต่ความจริงแล้วยังไม่ได้ขายที่
วิธีลงมือฆ่านั้นโหดเหี้ยมสมกับคำสารภาพ…เมื่อไม่ยอมบอกที่ซ่อนเงิน ก็ทยอยแขวนคอเด็ก 3 คน ต่อหน้าผู้เป็นพ่อ ซึ่งคดีนี้ปิดฉากด้วยศาลสั่งประหารชีวิต ขณะที่ถูกจองจำก็ได้รับการลดโทษมาโดยตลอด จึงติดคุกเพียง 13 ปีเท่านั้น จึงเป็นที่น่าสงสัย ต่อมาเปลี่ยนชื่อ-สกุล เข้าไปอยู่ในสังกัดซุ้มมือปืนชื่อดัง กระทั่ง 22 ก.พ. 58 นายศักดิ์ถูกคนร้ายตามสังหารเสียชีวิต จึงเป็นเหตุปิดตำนาน “ศักดิ์ ปากรอ” มือฆ่า 5 ศพ ด้วยวัย 39 ปี
ส่วนอีกคดีที่โหดและดุดัน “ฆ่าหมู่เกลื่อน 5 ศพ” จ.สระบุรี เกิดขึ้นเมื่อปี 52 ซึ่งหลายคนก็คงยังจดจำได้ ที่เกิดขึ้นกับ “นายอารมณ์ อุดมสันต์” เจ้าของร้านอาหารไวท์เฮาส์ ซึ่งเป็นสมาชิก ส.ท.เมืองสระบุรี และกลุ่มเพื่อนรวม 5 คน โดยในคืนวันที่ 3 ต.ค.ในปีนั้น คนร้ายบุกเข้าไปถึงบ้านกราดยิงเหยื่อเรียงตัว แต่เหยื่อก็ยิงสู้สุดชีวิตก็หนีไม่พ้นคมกระสุนของมืออาชีพ อันเป็นที่มาของการตายหมู่ในครั้งนี้ สุดท้ายถูกเป่าขมับคาที่ทุกศพมีบาดแผลถูกจ่อยิงเผาขนทั้งสิ้น เพราะคนร้ายไม่ได้ประสงค์อะไรนอกจาก “ชีวิต”
สำหรับปูมหลังเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด เป็นที่โจษขานกันว่า เมื่อวันที่ 24 ก.ย. เด็กเสิร์ฟร้านนายอารมณ์ เกิดไปมีปัญหากับกลุ่มนายทหารที่มาดื่มกินที่ร้าน นายทหารระดับ พ.ต.กับร.อ.ถูกรุมกระทืบจนบาดเจ็บแขนขาหัก และมีการขู่อาฆาตกันเอาไว้ ซึ่งในขณะนั้น “พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล” ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก กล่าวถึงกระแสข่าวที่มี “นายทหารยศพันตรี” มีส่วนเกี่ยวพันกับคดีว่า ทหารไม่น่าจะมีส่วนเกี่ยวกับคดีนี้ เพราะสถานที่ที่เกิดเหตุเป็นบ้านพักส่วนตัว และไม่ใช่ลักษณะที่จะเป็นฝีมือของทหาร เพราะกระสุนที่พบขนาด .38 และ 11 มม. ไม่ใช่กระสุนที่ทหารใช้ และไม่มีการพบปลอกกระสุนเอ็ม 16 ที่เป็นกระสุนหลักที่ทหารใช้ หรืออาวุธสงครามแต่อย่างใด
การขออนุมัติหมายจับผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด กระทั่งจวบจนถึงวันนี้ โดยเฉพาะนายทหารคู่กรณีทั้ง 4 นาย คดีดูท่าจะเงียบหายไปอย่างไร? หรือเสียงปืนที่ดังจึงไม่มีใครรู้ แต่กลับเป็นเสียงปืนส่งวิญญาณทั้ง 5 เพื่อสังเวยชีวิต “แดนทหารม้า”
เปิดแฟ้มอีกหนึ่งคดี “ฆ่ายกครัว” สุดโหดเหี้ยม ที่ผู้บงการอยู่เบื้งหลัง “ไม่ใช่ใครอื่นไกล” ย้อนกลับไปเมื่อ 3 เม.ย. 57 ได้เกิดเหตุโศกนาฏกรรมขึ้นกับครอบครัว “หอมชง” เพราะลูกชายคนเล็กของตระกลู “เต้ย-กิตตินันท์ หอมชง” อายุ 22 ปี น้อยเนื้อต่ำใจและหวังฮุบสมบัติ จึงได้คิดแผนสั่งฆ่า “พ่อ-แม่-พี่ชายยศ ร.ต.ท.” ด้วยการจ้างวานผู้อื่นบุกเข้ามายิงถึงที่บ้านพักเลขที่ 1279 ถนนกาญจนาภิเษก แขวงบางแคเหนือ เขตบางแค
ผู้เป็นแม่ “นางวนิดา หอมชง” วัย 57 ปี ครูโรงเรียนราชวินิตประถม บางแค ใกล้กันั้นพบศพ “ร.ต.ท.ธรรมณัฐ หอมชง” อายุ 24 ปี หรือ “หมวดเติ้ล” พนักงานสอบสวน สน.ตลิ่งชัน ลูกชายคนโตของบ้าน และ พ.อ.วิชัย หอมชง นายทหารเกษียณอายุราชการ วัย 63 ปี ผู้เป็นพ่อ ทั้ง 3 ถูกยิงเสียชีวิต โดยหลังเกิดเหตุ นายกิตตินันท์ เดินทางมาดูที่เกิดเหตุ พร้อมนายกอล์ฟ อายุ 22 ปี เพื่อนชายคนสนิท ทั้งคู่ให้การว่า ก่อนเกิดเหตุนัดกับ ร.ต.ท.ธนัตถ์พงกินข้าวที่ห้างเดอะมอลล์ บางแค ก่อนจะแยกย้ายกันกลับ
แต่ก็ไม่พ้นสายตาของเจ้าหน้าที่ไปได้ เพราะคดีนี้กลับพบพิรุธบางอย่าง จึงเค้นสอบอย่างหนักจากนายกอล์ฟ ปริปากยอมรับว่าเป็นผู้จัดหามือปืน 2 คน ส่วนนายกิตตินันท์ สารภาพอย่างหมดเปลือก “เป็นผู้วางแผนจ้างฆ่าพ่อแม่และพี่ชายเองครับ” โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจปักใจเชื่อมูลเหตุ เนื่องจากลูกชายคนเล็กรายนี้ แค้นที่พ่อกับแม่รักพี่ชายมากกว่า ประกอบกับอยากครอบครองมรดกของครอบครัว ที่มีมูลค่าหลาย 100 ล้านบาท
และอีก 1 ปีต่อมา วันที่ 20 มี.ค. ศาลอาญาธนบุรี พิจารณาสั่งให้ประหาร นายกิตตินันท์ เป็นผู้สั่งฆ่ายกครัว ส่วนนายกอล์ฟ เพื่อนชายคนสนิท กับ “นายฉลาด เที่ยงธรรม” คนขับรถ และ “นายสุระพงษ์ ชูพันธ์” มือปืนระวังหลัง “นายสิริชัย เพิ่มพูนศักดิ์” มือปืนผู้ลงมือ ถูกสั่งให้จำคุกตลอดชีวิต
ถัดมาในปี 58 ทำให้นึกถึงอีกคดีสุดสะพรึง ที่ถือว่าสะเทือนขวัญและสะเทือนใจหลายคน เมื่อวันที่ 27 ก.ย. “นายอาซาผะ สีวัวะ” ชาวเขาเผ่าลีซอ อายุ 24 ปี คว้าอีโต้ไล่ฟันเด็ก 5 คน จนหายใจรวยรินและนอนจมกองเลือดเสียชีวิตคาที่ 4 ราย ภายในบ้านพักแห่งหนึ่ง จ.เชียงใหม่ เนื่องจากเด็กๆ เล่นกันส่งเสียงดัง โดยผู้เป็นแม่ของเด็กๆ ซึ่งกำลังตั้งครรภ์ได้วิ่งเข้ามาช่วย แต่ก็ถูกฟันเข้าที่ใบหน้า จึงถูกหามส่งโรงพยาบาลพร้อมเด็กในจำนวนนั้นอีก 1 คน แต่เด็กทนพิษบาดแผลไม่ไหว จึงเสียชีวิตในเวลาต่อมา เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้เธอต้องสูญเสียลูกไป 3 คน และหลานอีก 2 คน โชคดีที่ลูกในท้องปลอดภัย
นายอาซาผะ ถูกแจ้งข้อหาฆ่าคนตายโดยเจตนา และส่งตัวมารักษาที่ รพ.นครพิงค์ ส่วนสาเหตุในการก่อเหตุสุดสลดในครั้งนี้ นายอาซาผะทำไปเพราะความคลุ้มคลั่ง มีอาการทางประสาท และได้ยินเสียงเด็กข้างบ้านเล่นกันเสียงดัง จึงไล่ฟันเด็กๆ
ในขณะนั้น “นพ.ปริทรรศ ศิลปกิจ” รักษาราชการ ผอ.รพ.สวนปรุง จ.เชียงใหม่ เปิดเผยว่า ผู้ต้องหาเคยรับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ มาก่อน แต่ไม่ต่อเนื่อง และได้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลสวนปรุง ช่วงปลายเดือนก.ค. 58 ด้วยอาการอยากฆ่าตัวตาย มีอาการทางจิต ประสาทหลอน ซึ่งรุนแรงมาก แต่หลังจากรักษาได้ประมาณ 2 สัปดาห์ นายอาซาผะ ก็อาการดีขึ้นมาก และทางญาติก็อยากให้กลับไปดูแลรักษาตัวต่อที่บ้าน จึงได้จัดยาและให้มารับยาต่อเนื่องทุกเดือน กระทั่งมาเกิดเหตุสลดขึ้น.

ทีมา   http://expressnews24.com/archives/18751

You Might Also Like

0 ความคิดเห็น